ชีวิตบนความคาดหวังของคนอื่น...

ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย สิ่งที่พ่อแม่พูดและทำกับผม ผมรู้ว่ามันเป็นความหวังดีที่พ่อแม่มอบไว้ให้ผม แต่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมกำลังเดินอยู่บนความคาดหวังของคนอื่น ผมเติบโตขึ้นมาในครอบครัวฐานะปานกลางและผมมีพี่สาวและน้องชาย ส่วนผมเป็นลูกคนกลาง พี่สาวของผมเป็นคนที่มารยาทดี เรียนเก่ง เวลาไปไหนมาไหนพี่สาวเป็นที่นับหน้าถือตาและเป็นที่รู้จักเป็นที่ชื่นชอบของคนในหมู่บ้าน และผม...ผมอยู่ภายใต้เงานั้น เงาของพี่สาวของผมเอง ตอนนั้นผมรู้สึกดีที่มีแบบอย่างให้เดินตามอย่างพี่สาว แม้ว่าพี่สาวของผมก็ไม่ได้คาดหวังจากผม

แต่ความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อผมว่า “ลูกน่ะควรจะเก่งและดีเป็นอย่างพี่สาวนะ…”

มันเป็นประโยคที่กระทบต่อความรู้สึกของผม และในช่วงนั้นกำลังจะสอบเพื่อเข้าโรงเรียนมัธยม และผมจำสิ่งที่พ่อพูดเกี่ยวกับผมได้ว่าพ่อไม่ค่อยจะมั่นใจเลยว่าผมน่ะจะสอบติดได้จริงๆ เมื่อผมได้ยินแบบนั้นผมรู้สึกเสียใจมากและเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นเครียดมากเเค่ไหนหลังจากผมสอบเพื่อเข้าคัดเลือกโรงเรียนมัธยมเรียบร้อยเเล้ว ต่อให้ผมสอบผ่านเเล้ว พอถึงบ้านผมไม่คุยกับใครรีบขึ้นไปที่ห้องแล้ว...ผมปล่อยอารมณ์ออกจากใจของผม ผมร้องไห้ เพราะผมกลัวเเละกังวลว่าผมจะทำไม่ได้อย่างที่พ่อแม่คาดหวังเอาไว้ แต่ความรู้สึกกังวลใจ ความกลัว ความเครียด เกาะกินในใจของผมมาเรื่อยๆ...

และผมเห็นพ่อซื้อโทรศัพท์มือถือให้พี่สาวเพื่อพวกเขาจะติดต่อเราที่โรงเรียนได้เมื่อมีเหตุจำเป็น ผมก็อยากมีบ้าง ผมน่ะอยากได้เหมือนพี่ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามือถือราคาแพงแค่ไหน เเต่ผมอยากมีของแบบนั้นเหมือนพี่สาวของผม และพ่อก็ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้พี่อีกครั้ง ไม่มีใครอธิบายเรื่องนี้เลย แต่ผมรู้และเก็บเงียบไว้

ต่อมาช่วงเวลาแห่งการเรียนพิเศษ พี่สาวของผมได้ไปเรียนพิเศษที่ต่างจังหวัด การที่ได้เรียนพิเศษเป็นอะไรที่ภูมิใจและพี่สาวได้มีโอกาสนั้น ผมอยากไปทำแบบนั้น แบบที่พี่สาวทำบ้าง ผมอยากทำอะไรที่ผมไม่เคยทำบ้าง

ผมมีคำถามในความคิด “เเล้วผมล่ะ...พ่อเเม่ไม่คิดถึงผมบ้างหรอครับ” และผมได้แค่คิดและเก็บทุกอย่างไว้ในใจไม่แสดงออกเป็นสิ่งที่ผมเลือกทำ

เวลาผมอยู่คนเดียว ผมมักจะน้อยใจและปลอบตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” ผมทุ่มเทในส่วนที่ผมทำได้เอง ต่อให้พ่อแม่มาถามผม ผมเลือกที่ไม่พูดอะไรในใจออกมา บางครั้งผมนึกน้อยใจในวาสนาของตัวเอง ผมมีคำถาม ทำไมพ่อแม่ถึงไม่มีเงินเยอะมากกว่านี้ ทำไมเราต้องอยู่สภาพครอบครัวแบบนี้ ต่อให้ผมคิดแบบนั้นแต่ผมยังมองเห็นพี่สาวเป็นบรรทัดฐาน ทั้งเรื่องการเรียน, การแสดงออก และอื่นๆ ผมไม่เคยบอกสิ่งที่อัดอั้นในใจของผมกับใครเลย และมันเป็นแบบนั้นมาตลอด…

พอผมได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมพลาดโอกาสทำในสิ่งที่ผมรัก เช่น ศิลปะและการประดิษฐ์ ผมชอบมันมากๆ แต่ผมไม่ได้ทำมันไม่แตะมันเลย ผมรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปครับ และ ผมรู้สึกว่าผมเหนื่อยที่จะพยายามให้ดี ดีพอแบบที่พี่สาวของผมเป็น พ่อแม่จะได้ไม่ผิดหวังในตัวผม พวกเขาจะได้ไม่ผิดหวังในตัวผม... ผมไม่เคยที่จะออกนอกกรอบที่พ่อแม่นั้นวางไว้ให้ผมเลย ผมรู้ดีมากๆว่า การออกจากกรอบเเล้วไปทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมีแต่จะทำให้พ่อแม่เป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับตัวผม

คำถามเกี่ยวกับตัวเองว่า ชีวิตมีแค่ เกิดมา, ตั้งใจเรียน, เรียนจบ,ทำงาน, มีครอบครัว, แก่ และ ถ้าผมจากโลกนี้ไป… ชีวิตของมนุษย์มีแค่นี้รึ ผมเองเริ่มรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยที่จะพยายามแบบนี้ต่อไป ผมไม่อยากจะทำ ไม่อยากฝืนใจที่อยู่หรือทำอีกต่อไปแล้ว ชีวิตมันเป็นแบบนี้ มันเหนื่อย ผมขอไม่อยู่ต่อ ใช่แล้วครับ... มันทำให้นำไปสู่ความคิดที่อยากฆ่าตัวตาย ผมคิดซ้ำๆ ว่าผมน่ะไม่อยากมีชีวิตอยู่เเล้ว ผมตระหนักว่า ชีวิตมันสิ้นหวังในตัวของมันเองเเล้ว

บางทีความสิ้นหวังในการมีชีวิตอยู่ มันไม่ได้มาจากไม่ได้มาจากเรื่องร้ายแรง แต่มันเป็นความเหนื่อยในการใช้ชีวิต

ตอนนั้นช่วงชีวิตของผม ผมใช้เวลาพอสมควรในการรักษาใจตัวเองผ่านเพื่อนที่ไว้ใจได้ หลังจากนั้นผมได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าใครที่กำลังรู้สึกแบบเดียวกันกับผม หรือรู้สึกโดดเดี่ยว เหงา หรือไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ส่งข้อมูลติดต่อกลับลงในช่องด้านล่างนี้ เพื่อนที่ปรึกษาจะติดต่อคุณกลับไป เพื่อรับฟังเรื่องราวพร้อมที่ช่วยเหลือกับคุณ เพราะคุณไม่ได้เจอเรื่องนี้เพียงลำพัง

เครดิตรูปภาพ Sơn Bờm

คุณไม่ได้เจอเรื่องนี้เพียงลำพัง คุยกับเพื่อนที่ปรึกษาได้ ทุกอย่างที่คุยกับเรานั้นเป็นความลับ

เมื่อพบว่าปัญหานี้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ ถ้าคุณกำลังคิดที่จะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น โปรดอ่าน!

กรุณาใส่ข้อมูลในช่องด้านล่างเพื่อเราจะติดต่อคุณได้

ระบุเพศ:
ช่วงอายุ:

การระบุเพศและอายุนั้นช่วยให้ทีมงานจัดหาเพื่อนที่ปรึกษาที่เหมาะสมให้กับคุณได้ ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บริการ & นโยบายความเป็นส่วนตัว.